บทสัมภาษณ์พิเศษ “แสตมป์” Bitkub เปิดเส้นทางอาชีพนักวิเคราะห์คริปโทฯ

บุหรี่กรองทิพย์ 90 1ซอง ราคา 590 บาท

แสตมป์ – กันตณัฐ วุฒิธร หรือที่นักลงทุนในวงการคริปโตคุ้นชื่อกันดีในฐานะนักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัลของ Bitkub ผู้มีประสบการณ์การเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย Volume (ปริมาณการซื้อขาย) กว่า 740 ล้านดอลลาร์ ในระยะเวลา 6 เดือน ได้มาแชร์ประสบการณ์การทำงานที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความน่าสนใจในตลาดคริปโต

คุณแสตมป์เล่าว่า จุดเริ่มต้นความสนใจในด้านการลงทุนเริ่มตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในสายวิศวะ แม้จะจบการศึกษาและเริ่มทำงานด้าน Cloud Solution แต่กลับพบว่าไม่ได้รู้สึกชอบกับงานในสายนี้ จึงหันมาศึกษาและลงมือทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเพจ “To the Milky Way – Serious Trader” หรือการลงมือเทรดในตลาดคริปโต ก่อนจะเข้ามาร่วมงานกับ Bitkub

ที่มา:FB/To the Milky Way – Serious Trader

“เหตุผลที่ผมเลือกตลาดคริปโต เพราะมองว่ามันเป็นโอกาสที่ทำให้เราขึ้นระดับสูงได้โดยไม่เสียเปรียบด้านประสบการณ์เหมือนตลาด Traditional ซึ่งมีคนที่อยู่มา 30-40 ปี ผมอยากพิสูจน์ความสามารถตัวเองในตลาดที่ยังใหม่และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เท่าเทียม” คุณแสตมป์กล่าว

หน้าที่ของนักวิเคราะห์คริปโต

งานของนักวิเคราะห์คริปโตนั้นคือ การประเมินโอกาสและความเสี่ยง (Potential Opportunity & Risk) เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม

ในบทบาทหน้าที่ของเขาที่ Bitkub คุณแสตมป์เล่าว่า “เราไม่ได้บริหารเงินของลูกค้า แต่เน้นไปที่การให้ความรู้และสร้างโอกาสให้นักลงทุนที่ติดตามเราได้รับผลตอบแทนหรือสร้างมั่งคั่งให้โตขึ้น”

คุณแสตมป์ใช้กลยุทธ์อะไรในการวิเคราะห์สินทรัพย์ ?

“ผมเชื่อว่าการวิเคราะห์ที่ดีต้องมีรากฐานมาจากข้อมูลที่จับต้องได้จริง ๆ ครับ” คุณแสตมป์เริ่มเล่า “ผมเป็นคนที่ยึดมั่นในแนวทาง Data-Driven ส่วนตัวผมใช้ทั้ง Fundamental Analysis, Technical Analysis, On-chain Analysis, Quantitative Method และ Valuation โดยทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้หลักการของ Data Driven”

โดยคุณแสตมป์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า

“ถ้าเป็นสายเทคนิคัลทั่วไปอาจจะวิเคราะห์ว่า ราคาชนแนวต้านราคาลง ชนแนวรับราคาขึ้น แต่ถ้าเป็นผมจะถามกลับไปว่า คุณรู้ได้ยังไงว่ามันชนแนวรับแล้วมันจะขึ้น และจะถามต่อว่า ถ้ามันจะขึ้นมันจะขึ้นกี่เปอร์เซนต์, Risk Reward Ratio เท่าไหร่เหมาะสม ส่วนถ้าเป็นสาย Data driven คำถามนี้จะตอบได้ เพราะเราจะเอาข้อมูลไปทำ Quantiative Testing เพื่อให้เรารู้ว่า เกิดเป็นกลยุทธ์แนวรับแนวต้าน ใช้ได้จริงมั้ย Time Frame ไหนใช้ได้บ้าง”

ส่วนในมุมของ Fundamental คุณแสตมป์ก็เสริมว่า “ก็อาจจะมีการ ดู Volume ดู TVL เอามาทำเป็นสัดส่วน Valuation ต่างๆ เพื่อตอบให้ได้ว่า เหรียญไหนมีพื้นฐานดี”

“สุดท้าย ถ้าเป็นการใช้ข้อมูลแบบ On-chain เราก็จะทำ Pricing model เพื่อดูว่า ราคา Bitcoin เฉลี่ยที่คนทั้งโลกซื้ออยู่ที่เท่าไหร่ ดังนั้นเราก็จะเอาองค์ความรู้เหล่านี้มาประกอบกัน ในการวิเคราะห์ครับ” คุณแสตมป์กล่าวเสริม

ข้อคิดฝากถึงนักลงทุนจากคุณแสตมป์

คุณแสตมป์กล่าวปิดท้ายว่า “ผมอยากฝากเรื่อง Expectation (ความคาดหวัง) ครับ เพราะการที่ทุกคนเข้ามาในตลาดทุน ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหวังที่จะรวยกันอยู่แล้ว คงไม่มีใครเข้ามาแค่เพราะความชอบเฉยๆ และเมื่อทุกคนเข้ามาด้วยความคาดหวังที่จะรวย บางครั้งอาจทำให้เราเสี่ยงเกินตัว”

นอกจากนี้คุณแสตมป์ยังเสริมอีกว่า “ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในตลาดหุ้น นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffet หรือ Ray Dalio ยังทำกำไรได้ไม่เกิน 15% ต่อปี แล้วถ้าเราคาดหวังว่าจะทำกำไรได้ถึง 100% ต่อปี ลองถามตัวเองก่อนว่าเราเป็นใคร และมีความสามารถระดับไหน เพราะยิ่งคาดหวังผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงตาม อยากฝากให้นักลงทุนทุกคนพิจารณาและบริหารความคาดหวังของตัวเองให้เหมาะสมครับ”image/jpeg